สวนหนังสือ
ปีเตอร์ คาเมนซินด์
เฮอร์มานน์ เฮสเส เขียน
สดใส แปล
๒๙๐ หน้า ราคา ๒๙๐ บาท
พิมพ์ครั้งที่ ๓ สำนักพิมพ์เคล็ดไทย
__________
“เหนืออื่นใดคือ ผมอยากปลูกฝังความลับแห่งรักอันเลิศล้ำลงในหัวใจคุณ ผมหวังอยากจะสอนให้คุณเป็นพี่น้องที่แท้จริงของสรรพชีวิต ขอให้มีความรักมากล้นจนคุณไม่กลัวความโศกเศร้าหรือแม้แต่ความตาย เมื่อถึงเวลาก็จงต้อนรับสิ่งที่มาเยือนเหมือนต้อนรับพี่น้องหญิงชายที่เคร่งขรึม” (หน้า ๑๕๐)
ปีเตอร์ คาเมนซินด์ เป็นนวนิยายเรื่องแรกของ เฮอร์มานน์ เฮสเส ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ๑๙๐๔ และได้รับความสำเร็จท่วมท้นส่งให้เฮสเสมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก อีกทั้งยังมีความงดงามทั้งในด้าน เนื้อหา สาระและ วรรณศิลป์ นอกจากนี้การที่เฮสเสสั่งสมวัตถุดิบเพื่อใช้ในงานเขียนจากคลังความรู้ที่ได้จากการอ่านมากกว่าการเดินทางท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ เฮสเสกลับชอบที่จะให้ตัวเอกในเรื่องของเขาอย่างเช่นปีเตอร์ เป็นผู้มีพลังมหาศาลพร้อมเผชิญโลกกว้างไปตามที่ต่าง ๆ แสวงหาเป้าหมายในชีวิต เก็บเกี่ยวประสบการณ์พร้อมกับปรับทัศนะที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วก็มีคำตอบให้แก่ชีวิตได้ในที่สุด (จากคำนำสำนักพิมพ์) หนังสือเล่มนี้เปี่ยมด้วยพลังและความสดชื่นในการเรียนรู้ ใคร่ครวญตนเอง
ปีเตอร์ คาเมนซินด์ เป็นชื่อของเด็กหนุ่มตระกูลคาเมนซินด์ เติบโตในหมู่บ้านนิมิคอนเล็ก ๆ อันห่างไกล สามในสี่ของคนในหมู่บ้านใช้นามสกุลคาเมนซินด์เหมือนกัน ปีเตอร์ในวัยเด็กอยู่กับธรรมชาติมักใช้เวลาว่างไปกับการปีนเขา ดูนก ตกปลา รวมทั้งเรียนรู้ชีวิตจากการอ่านวรรณกรรม จึงทำให้เด็กหนุ่มเป็นนักเขียนผู้เข้าใจชีวิตและความเป็นไปของโลก ปีเตอร์หลงใหลการเดินทางเพื่อค้นหาความสุขสงบอันจริงแท้ ระหว่างการเดินทางเขาพบเจอเพื่อนผู้เป็นมิ่งมิตรและจากไปในเวลาอันแสนสั้น พบรักและความเจ็บปวด เรียนรู้ความงดงามจากความรัก พบบ๊อบบี้เพื่อนผู้พิการที่ทำให้เขาเข้าใจคุณค่าของการมีอยู่ และท้ายสุดปีเตอร์กลับไปยังหมู่บ้านที่เขาเคยจากมาที่มีธรรมชาติราบรอบและพบความสงบงามและความอบอุ่นที่นั่น
สารัตถะสำคัญของเรื่องนี้แสดงให้เห็นจิตสำนึกภายในที่หยั่งรากลึกอยู่กับธรรมชาติ หนังสือเล่มนี้จะทำให้เรากลับมาทบทวนและค้นหาความหมายของชีวิต ท่ามกลางกระแสทุนนิยมที่ผู้คนอาจติดกับดักของวัตถุจนหลงลืมคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต ปีเตอร์ คาเมนซินด์ อาจนำทางให้เราได้รู้จักความรักต่อตนเองและผู้อื่น ได้ค้นหาความสุขจากความสงบแห่งชีวิต
“ก่อน ๆ หน้านี้ผมหาความเพลิดเพลินใจจากการศึกษาเมฆและคลื่นยิ่งกว่าจากการศึกษามนุษย์ ผมสุดฉงนเมื่อได้ค้นพบว่าสิ่งยอดสุดที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากชีวิตอื่น ๆ ในธรรมชาติคือเสื้อเกราะของความลวง ไม่ช้าผมก็เห็นลักษณะเหมือน ๆ กันนี้ในคนที่รู้จักทุกคน-นี่คือผลจากข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกคนรู้สึกว่าถ้าสวมเสื้อตัวนี้แล้วจะทำให้เขาดูดีขึ้น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงไม่มีใครรู้จักตัวตนแท้จริงลึกสุดของตัวเอง” (หน้า ๑๕๒)